คาร์เนชั่น หรือ ดอกผีเสื้อ (ไดแอนทัส) เป็นดอกไม้ที่มีความสวยงามอีกชนิดหนึ่ง มีหลายสายพันธุ์และมีสีสันที่หลากหลาย มีถิ่นกำเนิดแถบยุโรปตอนใต้ มีความทนทานในการบานสูง สามารถปลูกเป็นไม้ตัดดอกได้ดีในที่ที่อากาศหนาวเย็น และจะให้ดอกตลอดทั้งปี
คาร์เนชั่น หรือ ดอกผีเสื้อ (ไดแอนทัส)
ชื่อ ‘ไดแอนทัส’ นั้นใช้ครอบคลุมกลุ่มต้นไม้ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีกว่าในชื่อสามัญที่เรียกว่า คาร์เนชั่น (Dianthus caryophyllus) ดอกผีเสื้อ (D. chinensis) ค็อทเทจพิ้งก์ (D. plumarius) และ สวีทวิลเลี่ยม (D. barbatus) ทุกพันธุ์ล้วนชอบแดดจัดและปลูกเพื่อชมดอกที่อยู่ทนซึ่งปลูกไว้เป็นไม้ตัดดอกได้ดีเช่นกัน
เวลาปลูกไดแอนทัส ให้ฝังเฉพาะลำต้นช่วงล่างเพียง 6 มิลลิเมตรเท่านั้น และดูให้ดีว่าใบด้านล่างอยู่เหนือระดับดิน การปลูกไดแอนทัสไว้ลึกจะทำให้ลำต้นมีโอกาสเน่าได้ง่าย
ถ้าต้นผีเสื้อที่ยังอ่อนไม่แตกกิ่งด้านข้าง ควรเด็ดตรงยอดของกิ่งหลักออกในช่วงต้นฤดูฝน และถ้าเป็นไปได้ให้เด็ดในตอนเช้าของวันที่มีอากาศชื้น การเด็ดยอดจะทำให้ต้นออกดอกช้า แต่ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อทำให้ต้นแข็งแรงและแตกเป็นพุ่ม
คาร์เนชั่น หรือ ดอกผีเสื้อ ชนิดที่ปลูกง่าย
เพื่อจะได้ปลูกไดแอนทัสอย่างไร้ปัญหา ให้เลือกปลูกคาร์เนชั่นหรือผีเสื้อเป็นขอบแปลงจะดีกว่า คาร์เนชั่นปลูกบนที่สูง อากาศเย็น ส่วนผีเสื้อ ปลูกทั่วไปได้ตลอดทั้งปี ผีเสื้อนั้นจะปลูกได้ง่ายเป็นพิเศษ เนื่องจากไม่ต้องใช้ไม้หลักและไม่ต้องปลิดตาดอก
เคล็ดลับในการดูแลไดแอนทัส
ปัจจุบันดอกผีเสื้อส่วนใหญ่สามารถกระตุ้นให้ออกดอกที่โรยออก อย่างไรก็ตามพันธุ์เก่าๆ บางพันธุ์ก็จะให้ดอกดกเพียงรอบเดียวในช่วงต้นฤดูหนาว บางครั้งกระตุ้นให้ออกดอกรอบสองได้ ถ้าตัดแต่งกิ่งให้สั้นเมื่อหมดดอกรอบแรกแล้ว
คาร์เนชั่นพันธุ์ที่ให้ดอกตลอดปีจะให้ดอกดีที่สุด ถ้าหากจำกัดความสูงและปลิดตาดอกเสียในช่วงแรกๆ การจำกัดความสูงหมายถึงการเด็ดยอดของกิ่งหลักเมื่อกิ่งนั้นมีใบ 8-10 คู่ให้เหลือใบเพียง 6 คู่ จากนั้นลำต้นส่วนล่างจะแตกกิ่งใหม่ๆขึ้นมา เมื่อตาดอกเริ่มแตก เราสามารถช่วยให้ตาดอกที่อยู่บนยอดบนสุดของกิ่งมีขนาดใหญ่ขึ้นได้โดยการปลิดตาดอกเล็กๆข้างล่างออก วิธีนี้เรียกว่า การปลิดตาดอกเพื่อให้ต้นใช้พลังงานทั้งหมดบำรุงดอกใหญ่เพียงดอกเดียวในแต่ละกิ่ง ถ้าคุณชอบให้ต้นมีดอกเล็กๆประปรายก็ให้ปลิดตาหลักออกแทน
วิธีทำให้คาร์เนชั่นแตกหน่อ
ควรขยายพันธุ์คาร์เนชั่นที่ปลูกเป็นแปลงทุก 3 หรือ 4 ปีแต่ก็ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ วิธีการขยายพันธุ์ที่ง่ายที่สุดคือ การทำให้แตกหน่อในช่วงปลายฤดูร้อนหรือฤดูหนาว เลือกกิ่งที่ไม่มีดอกซึ่งยาวสัก 20-25 เซนติเมตร ปล่อยให้ติดอยู่กับต้น ลิดใบออกให้หมดเหลือเพียงใบบนสุดสัก 3-4 คู่ ใช้มีดปาดตื้นๆให้ยาวสัก 2.5 เซนติเมตร บริเวณกลางกิ่งใต้ข้อใบ ใช้นิ้วเขี่ยให้รอยปาดเปิดออกแล้วโน้มกิ่งลงโดยให้รอยปาดอยู่ด้านล่างแนบลงในหลุมตื้นๆที่ใส่ดินปลูก ทรายหยาบและพีท (peat เป็นเครื่องปลูกชนิดหนึ่งนำเข้าจากต่างประเทศ เป็นดินพรุที่ย่อยสลายแล้ว นำมาจากประเทศเดนมาร์กหรือแคนาดา) เอาไว้
ปล่อยให้ปลายโผล่ขึ้นเหนือดินและตรึงกิ่งให้อยู่กับที่ด้วยกิ๊บหนีบผมรูปตัวยูอันใหญ่หรือลวดดัดโค้ง หลังจากนั้น 6 สัปดาห์ ให้ดูว่ากิ่งนั้นแตกรากหรือยัง โดยค่อยๆแซะดินรอบกิ๊บหรือลวดนั้นออก ถ้าเห็นรากแตกออกมาแล้วให้กลบดินไว้ตามเดิมแล้วตัดกิ่งทางด้านที่ตรึงไว้ด้สยกิ๊บหรือลวด จากนั้นอีก 2 สัปดาห์จึงย้ายหน่อใหม่ไปปลูกไว้ในบริเวณที่ต้องการได้
หรือจะปักชำแทนก็ได้
กิ่งผีเสื้อนั้นผอมลีบทำให้ใช้วิธีแตกหน่อใหม่ได้ยาก จึงควรขยายพันธุ์ด้วยวิธีการปักชำมากกว่า ให้ปักชำหลังจากต้นออกดอก โดยตัดโคนกิ่งด้านข้างแล้วจึงตัดตรงใต้ใบสักคู่หนึ่งให้กิ่งมีขนาดยา 7.5-10 เซนติเมตร ลิดใบด้านล่างออกให้แต่ละกิ่งเหลือใบที่ยอดสัก 3-4 คู่ ปักกิ่งชำไว้ในกระถางบรรจุดินปลูกผสมพีทและทรายหยาบแล้ววางไว้ในโครงครอบ หลังจากนั้น 3 หรือ 4 สัปดาห์เมื่อกิ่งชำแตกรากแล้วก็สามารถปลูกแยกในกระถางเล็กๆซึ่งใส่ดินปลูกที่มีคุณภาพดีไว้
การดูแลไม่ให้โทรม : เคยเชื่อกันว่า ถ้าหากปลูกผีเสื้อต่างพันธุ์เอาไว้ด้วยกันแล้วดอกจะเสียรูปทรง และนานปีเข้าดอกก็จะเปลี่ยนไป เรื่องนี้เป็นความเชื่อแบบผิดๆ เพราะถึงแม้คุณจะปลูกผีเสื้อเพียงแค่สายพันธุ์เดียวแต่ไม่ได้ตัดดอกที่โรยแล้วทิ้ง เมล็ดก็อาจร่วงลงแล้วงอกออกมาเป็นต้นใหม่ รอบๆต้นเดิมได้ ต้นกล้าของผีเสื้อที่งอกมาใหม่นั้นไม่ค่อยจะเหมือนกับต้นแม่ จึงทำให้ดูเหมือนว่าผีเสื้อมีลักษณะเปลี่ยนไป ทั้งที่ความจริงก็คือต้นกล้าใหม่ซึ่งโตขึ้นข้างๆต้นเดิม
ถ้าคุณตัดดอกที่โรยแล้วทิ้งอย่างสม่ำเสมอคุณก็จะไม่พบปัญหาแบบนี้
เครดิตรูปภาพ : Pixabay