Thursday, 21 November 2024

กระเจี๊ยบเขียว พืชที่เป็นได้ทั้งผัก และไม้ประดับในบ้าน

ทำความรู้จักกับ กระเจี๊ยบเขียว (Abelmoschus esculentus) หรือ กระเจี๊ยบมอญ ที่เป็นได้ทั้งผักสมุนไพร และไม้ประดับในบ้าน ทั้งยังเป็นไม้พุ่มเขตร้อนที่น่าสนใจเป็นอย่างมากในปัจจุบัน

เนื่องจาก กระเจี๊ยบเขียว เป็นต้นไม้ที่มีเสน่ห์ มีดอกสีเหลืองขนาดใหญ่ โคนดอกสีม่วง ดูโดดเด่นสวยงาม ใบมีลักษณะเป็นแฉกๆ จะปลูกเป็นไม้ประดับหรือปลูกเป็นผักสวนครัวก็ได้ ตัวฝักของกระเจี๊ยบเขียว มีรสชาติอร่อย อุดมไปด้วยคุณค่า มีเมือกเหนียว เมื่อเรารับประทานเข้าไปแล้วจะกลายเป็นเกราะเคลือบกระเพาะอาหาร

นอกจากนี้ยังช่วยในเรื่องของการปรับความดันโลหิตในร่างกายให้ปรกติ ช่วยบำรุงสมอง เป็นยาช่วยระบาย มีวิตามิน เกลือแร่หลายชนิด ทั้งยังช่วยขับพยาธิตัวจี๊ดอีกด้วย

กระเจี๊ยบเขียว ปลูกแล้วต้องดูแลอย่างไร?

ดอกของต้นกระเจี๊ยบเขียว
ดอกกระเจี๊ยบเขียว

กระเจี๊ยบเขียวชอบแดดและน้ำที่ไม่ขัง

กระเจี๊ยบเขียวสามารถปลูกได้ตลอดปี ชอบแสงแดด เติบโตได้ดีในดินร่วนปนทราย แต่ต้องมีการระบายน้ำได้ดีด้วย ไม่ชอบดินที่มีลักษณะเป็นกรดจัดหรือที่ๆมีน้ำขัง ชื้นแฉะเกินไป การเตรียมดินจึงต้องทำให้ดี พรวนดินให้ลึกควรใส่ปุ๋ยคอกและปูนขาวเพื่อปรับสภาพดิน ความเป็นกรดด่างของดินให้เหมาะสม ก่อนปลูกให้เอาเมล็ดไปแช่น้ำอุ่นไว้สัก 1-2 ชั่วโมง จะช่วยให้งอกได้ง่ายขึ้น ใช้เวลาไม่เกิน 40-90 วัน กระเจี๊ยบเขียวจะออกดอกและติดฝัก ในช่วงนี้ต้องระมัดระวังอย่าให้ขาดน้ำเด็ดขาด เพราะฝักจะติดน้อย และมีลักษณะคดงอไม่สวย อย่าใช้ปุ๋ยที่มีธาตุไนโตรเจนสูงจะทำให้ใบเฝือ ฝักโตเร็วเกินไป ไม่สมบูรณ์ และเป็นโรคช้ำง่าย

กระเจี๊ยบเขียว ยิ่งร้อน ยิ่งโตเร็ว

การเก็บกระเจี๊ยบเขียว ให้เก็บฝักที่มีขนาดโตเต็มที่แล้วยาว 3-5 นิ้ว ถ้ายาวกว่านี้จะเป็นเสี้ยนแข็ง ให้เก็บวันเว้นวัน แต่ถ้าอากาศร้อน ฝักจะโตเร็วมาก ต้องเก็บฝักทุกวัน และมีต้องตัดในตอนเช้าเท่านั้น ใช้มีดหรือกรรไกรที่มีคมตัด เพื่อป้องกันไม่ให้ฝักมีรอยช้ำ เวลาตัดขั้วจ้องตัดให้ตรงไม่ให้เป็นปากฉลามขีดข่วนฝักอื่นๆจนเสียหาย ที่สำคัญ อย่าลืมใส่ถุงมือป้องกันขนของต้น เมื่อโดนแล้วจะทำให้ระคายเคืองผิวหนัง ฝักที่เก็บได้ให้รีบนำเข้าที่ร่มทันที บรรจุภาชนะที่มีรูระบายอากาศรอบๆ ไม่ควรใช้น้ำพรมหรือรดน้ำฝักกระเจี๊ยบเขียวหลังจากทำการเก็บเกี่ยว

กระเจี๊ยบเขียว ตัดต้น ใบ ทิ้ง จะได้ฝักใหม่

หลังเก็บฝักหมดแล้ว ให้รอจนแขนงแตกออกมาใหม่ก่อน จึงจะสามารถเก็บฝักใหม่ได้อีกรอบหนึ่ง แล้วจึงค่อยตัดต้นทิ้ง ต้นใหม่จะงอกขึ้นมาอีก อย่าปล่อยให้มีใบมากเกินไป เพราะจะทำให้แสงแดดส่องลงมาไม่ถึงฝักที่อยู่ด้านล่าง เวลาตัดฝักให้ตัดใบทิ้งไปพร้อมๆกัน เพื่อให้ลำต้นโปร่ง ถ้าอยากเก็บเมล็ดไว้ทำพันธุ์ให้ปล่อยทิ้งไว้ให้ฝักแก่แห้งคาต้นจึงจะนำมาเพาะใหม่ได้

ฝักกระเจี๊ยบเขียว

ประโยชน์จากกระเจี๊ยบเขียวมีอะไรบ้าง?

  • ช่วยรักษาแผลสด เพราะกระเจี๊ยบเขียวมีสารต้านอนุมูลอิสระชนิดกลูต้าไธโอนค่อนข้างสูง สามารถนำเมือกจากผลสดมาทารอบๆแผลได้
  • ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวาน ชะลอการดูดซึมน้ำตาลและคอเลสเตอรอลในเลือด ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่
  • ช่วยในการขับถ่าย ลดอาการท้องผูก เมือกของกระเจี๊ยบเขียวทำให้อุจจาระอ่อนตัวลง ทั้งยังช่วยดูดซับสารพิษที่ตกค้างในลำไส้ ทำให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น
  • ช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร เนื่องจากเมือกจากผลมีสารประกอบไกลโคไซเลต และไกลโคโปรตีนที่ช่วยในเรื่องของการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ทำให้เชื้อแบคทีเรียเกาะตัวได้ยากมากขึ้น
  • ช่วยแก้อาการกรดไหลย้อน การนำฝักไปต้มน้ำเกลืออ่อนๆ สามารถรักษาอาการกรดไหลย้อนได้
  • ช่วยรักษาโรคพยาธิตัวจี๊ด
  • ช่วยบำรุงสตรีมีครรภ์ เนื่องจากมีปริมาณโฟเลตสูง ช่วยเสริมสร้างเม็ดเลือดแดง ทั้งยังช่วยสร้างเซลล์ที่ผิวหนังไม่ให้เป็นแผลเป็น หน้าท้องไม่ลายอีกด้วย
  • ช่วยต้านมะเร็ง เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ตัวอย่างเช่น กลูต้าไธโอน กระตุ้นการซ่อมแซมเซลล์ต่างๆในร่างกาย
  • ช่วยลดน้ำหนักได้ด้วยนะ!

บทสรุป

นอกจากการปลูกกระเจี๊ยบเขียวแล้วนอกจากจะได้ผักสมุนไพรติดบ้านแล้ว ยังเป็นไม้ประดับที่สวยงาม อีกทั้งยังได้ความอร่อยจากการรับประทาน มีประโยชน์ต่อสุขภาพที่ช่วยทั้งระบบขับถ่าย การรักษาแผล ไขมันในเลือด ควบคุมน้ำตาลและน้ำหนักได้ แต่ที่สำคัญที่สุดคือ อย่าลืมขจัดสิ่งตกค้างก่อนนำมารับประทานด้วยน๊า

อ้างอิง : mgronline ,medthai