Saturday, 12 October 2024

ทำความรู้จักกับอาการตาเขหรือตาเหล่ (Strabismus)

03 Dec 2020
2047

อาการตาเขหรือตาเหล่ (Strabismus) เป็นหนึ่งในภาวะสายตาที่พบบ่อยที่สุดในเด็กซึ่งมีผลต่อระหว่าง 2 ถึง 4 เปอร์เซ็นต์ของประชากร 

อาการตาเขหรือตาเหล่คืออะไร?

อาการตาเข หรือ ตาเหล่คืออะไร?
เครดิต : assets.aboutkidshealth

ตาเข หรือ ตาเหล่ เกิดขึ้นเมื่อดวงตาของเราไม่ได้รับการจัดวางตำแหน่งอย่างถูกต้อง ดวงตาข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างอาจหันเข้าด้านใน ด้านนอก หรืออาจจะหมุนขึ้นหรือลง
หรือเมื่อเวลามองวัตถุเดียวกัน ผู้ป่วยจะใช้เพียงตาข้างที่ปกติจ้องวัตถุ ส่วนข้างที่เหล่ อาจเบนไปสู่ทิศทางใดทิศทางหนึ่ง

สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการตาเขหรือตาเหล่?

  • เกิดจากพันธุกรรม หรือ มีคนในครอบครัวที่มีอาการนี้อยู่แล้ว
  • เกิดความผิดปกติของกล้ามเนื้อ
  • อาจมีสาเหตุจากการเกิดอุบัติเหตุ
  • ความเสียดายที่เกิดจากการผ่าตัดตา
  • ปัญหาสุขภาพ อย่างเช่น โรคเบาเหวาน โรคต่อมไทรอยด์ หรือ เนื้องอกในสมอง
  • ข้อผิดพลาดจากการหักเหในคนสายตายาว เนื่องจากต้องใช้การโฟกัสเพิ่มในการมองวัตถุ

ภาวะแทรกซ้อนของตาเหล่มีอะไรบ้าง?

  • ตาขี้เกียจ หรือ Lazy Eye มักเกิดขึ้นในเด็กอายุน้อย
  • การมองเห็นภาพซ้อน
  • การทำงานที่ต้องใช้ดวงตามากๆ อาจนำมาสู่ภาวะแทรกซ้อนได้

อาการทั่วไปของตาเขหรือตาเหล่

อาการทั่วไปของ ตาเข หรือ ตาเหล่
เครดิต : wikipedia

ภาวะสายตานี้อาจส่งผลต่อการมองเห็นของเราและทำให้หลายๆคนรู้สึกไม่สบายตัว อาการทั่วไปบางอย่าง ได้แก่ :

  • มองเห็นไม่ค่อยชัด
  • ดวงตาไม่เคลื่อนไหวไปพร้อมกัน
  • เหล่ตา หรือเอียงศีรษะเพื่อมองวัตถุต่างๆ
  • ต้องหลับตาข้างใดข้างหนึ่งเมื่อเจอแสงจ้า
  • การรับรู้เชิงลึกผิดพลาด เช่น การเดินชนของบ่อยๆ

การวินิจฉัยอาการตาเขหรือตาเหล่

การทดสอบอาการตาเหล่จะเน้นเป็นพิเศษเกี่ยวกับการโฟกัสและการเคลื่อนไหวของดวงตาและอาจรวมถึง: 

  • การตรวจสอบประวัติผู้ป่วย : เกี่ยวกับปัญหาสุขภาพทั่วไป การใช้ยารักษา และสภาพการเป็นอยู่ในปัจจุบัน
  • การตรวจวัดการมองเห็น : เพื่อประเมินว่าการมองเห็นได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด สำหรับการทดสอบระบบจะขอให้คุณอ่านตัวอักษรบนแผนภูมิ ทั้งการอ่านที่อยู่ใกล้และในระยะไกล ซึ่งระยะการมองเห็น “ปกติ” คือ 20/20 หรือ หากเป็นการตรวจในเด็กจะมีการทดสอบโดยให้ปิดทีละข้างในการมองวัตถุ เพื่อสังเกตการเบนออกของดวงตา
  • การตรวจรีเฟลกซ์กระจกตาโดยฉายไฟ : หรือดูจากการหักเหของแสง การใช้เครื่องมือที่เรียกว่าโฟรออปเตอร์ แพทย์จะวางชุดของเลนส์ไว้ด้านหน้าดวงตาของคุณ และวัดว่าคุณโฟกัสแสงอย่างไร โดยใช้เครื่องมือที่มีแสงแบบถือมือถือที่เรียกว่าเรติโนสโคป หรือแพทย์อาจใช้เครื่องมืออัตโนมัติประเมินกำลังหักเหของตา โดยที่ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องตอบคำถามใด ๆ
  • การตรวจสุขภาพตา : การทดสอบนี้จะพิจารณาว่าดวงตาตอบสนองอย่างไรภายใต้สภาวะการมองเห็นปกติ สำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถตอบคำถามได้หรือเมื่อดวงตาบางส่วนกำลังโฟกัสผิดจุดอยู่ แพทย์ของคุณอาจใช้ยาหยอดตา ยาหยอดตาจะป้องกันไม่ให้ดวงตาเปลี่ยนโฟกัสชั่วคราวระหว่างการทดสอบ

การรักษาอาการตาเขหรือตาเหล่

การรักษาอาการตาเขหรือตาเหล่
เครดิต : wikipedia

การรักษาอาการตาเขหรือตาเหล่ อาจรวมถึงแว่นสายตา การรักษาด้วยการมองเห็นหรือการผ่าตัดกล้ามเนื้อตา 

หากตรวจพบและได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ อาการตาเหล่มักจะสามารถแก้ไขได้อย่างดีเยี่ยม ผู้ที่มีอาการตาเหล่มีทางเลือกในการรักษาหลายวิธี เพื่อปรับปรุงการจัดตำแหน่งและการประสานงานของดวงตา ได้แก่ :

  • ใส่แว่นตาหรือคอนแทคเลนส์ : นี่อาจเป็นวิธีการรักษาเดียวที่จำเป็น สำหรับผู้ป่วยบางราย และถือเป็นการรักษาขั้นต้นเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยกลับมามองเห็นได้ปกติ
  • เลนส์ปริซึม : เลนส์พิเศษเหล่านี้หนากว่าด้านหนึ่ง ปริซึมจะเปลี่ยนแสงที่เข้าสู่ดวงตาและลดการหันตาเพื่อดูวัตถุ ช่วยให้การหักเหของแสงตกลงพอดีบนจุดรับภาพที่จอตา
  • การฝึกกล้ามเนื้อตาหรือวิสัยทัศน์บำบัด : แพทย์อาจกำหนดโปรแกรมกิจกรรมการมองเห็นที่มีโครงสร้างเพื่อปรับปรุงการประสานงานของดวงตาและการโฟกัสของดวงตา การบำบัดด้วยการมองเห็นจะฝึกให้ดวงตาและสมองทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การฝึกสายตาเหล่านี้สามารถช่วยแก้ปัญหาเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของดวงตา การโฟกัสตา และการทำงานร่วมกันของดวงตา และเสริมสร้างการเชื่อมต่อระหว่างตากับสมอง 
  • การผ่าตัดกล้ามเนื้อตา. การผ่าตัดสามารถเปลี่ยนความยาวหรือตำแหน่งของกล้ามเนื้อรอบดวงตาให้ตรงได้ บ่อยครั้งผู้ที่ได้รับการผ่าตัดกล้ามเนื้อตาจะต้องได้รับการรักษาด้วยการมองเห็น เพื่อปรับปรุงการประสานงานของดวงตาและเพื่อป้องกันไม่ให้ดวงตาไม่อยู่ในแนวเดียวกัน
  • การรักษาด้วยยา : ด้วยการหยอดตาที่มีฤทธิ์ทำให้ดวงตาเห็นภาพเบลอ ส่งผลให้ดวงตาที่อ่อนแอทำงานมากขึ้นจนกล้ามเนื้อดวงตากลับมาแข็งแรงและมองเห็นภาพได้ปกติ

การป้องกันอาการตาเขหรือตาเหล่

อาการตาเหล่ไม่สามารถป้องกันได้ แต่ภาวะแทรกซ้อนสามารถป้องกันได้หากตรวจพบเร็วพอ เด็กต่ำสุดที่ควรได้รับการตรวจคัดกรองสุขภาพตาก่อนอายุ 6 เดือนและอีกครั้งระหว่าง 3-5 ปี

https://www.youtube.com/watch?v=XdBIT4rAtRo
BRIGHT TV

อ้างอิง : aoa.org / laservisionthai