Saturday, 23 November 2024

ไม้ประดับ 16 ชนิด ปลูกได้ในบ้านเหมาะสำหรับคนพื้นที่น้อย

แนะนำต้นไม้ประดับหรือไม้ในร่ม 16 ชนิด สำหรับคนที่ชอบทำสวน หรือ ปลูกได้ในบ้านเหมาะสำหรับคนพื้นที่น้อย ต้นไม้ต้นเล็กๆจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่เราสามารถสร้างสรรค์สวนได้หลายรูปแบบให้คนในบ้านได้ชื่นชมกันตลอดการพักผ่อน

ไม้ในร่มหรือพวกไม้ประดับต่างๆนั้น มีให้เลือกมากมายมหาศาล พวกพืชใบก็มีใบให้เลือกหลายรูปแบบ หลายสี หลายลาย หลายลักษณะเนื้อใบ สามารถนำไปตกแต่งประกอบกับไม้ดอกที่หลากหลายในแต่ละฤดู เมื่อนำทั้งสองอย่างมาจัด จะทำให้สวนมีความหลากหลาย มีชีวิตชีวามากขึ้นไม่ว่าจะขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ การเข้าใจความต้องการที่แตกต่างของพืชเหล่านี้เป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในการเลี้ยงพืชในร่ม ยิ่งถ้าเรามีความรู้และรู้จักเอาใจใส่ เราจะสามารถเลี้ยงได้ทั้งพืชเขตร้อนและเขตหนาวไว้ได้ในทีเดียว

ไม้ประดับหรือไม้ในร่มทั้ง 16 ชนิด

ต้นไม้ชนิดที่ 1 : ลิปสติก
(Aeschynanthus speciosus: lipstick plant)

ไม้ประดับหรือไม้ในร่ม
ลิปสติก (Aeschynanthus speciosus: lipstick plant)

ไม้เลื้อยใบสีจางๆ ดอกเป็นหลอดสีส้ม เหมาะกับอุณหภูมิห้องปรกติตลอดปี รดน้ำมากๆ ฉีดฝอยน้ำให้ใบในช่วงที่กำลังโต ดูแลดินในกระถางให้มีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ แต่ต้องมีการระบายน้ำที่ดี ในฤดูหนาวปล่อยให้ดินในกระถางด้านบนแห้งก่อนรดน้ำครั้งต่อไป ใส่ปุ๋ยสูตรโพแทสเซียมสูงเดือนละครั้งเฉพาะในช่วงที่ต้นกำลังโต

เคล็ดลับ : หมั่นตรวจหาเพลี้ยอยู่เสมอ โดยเฉพาะตามใบอ่อน

ต้นไม้ชนิดที่ 2 : หน้าวัว
(Anthurium: flamingo flower)

หน้าวัว (Anthurium: flamingo flower)

พืชข้ามปีที่มีใบสีเขียวตลอดปี ใบเป็นมัน ดอกเป็นมัน สีแดงหรือสีชมพูสด ออกดอกทีละหนึ่งหรือสองดอกตลอดปี ควรให้อยู่ในอุณหภูมิที่ 18-30°เซลเซียส ควรวางกระถางบนก้อนกรวด พ่นละอองน้ำให้ใบบ่อยๆ เพราะหน้าวัวต้องการความชื้นสูง ให้ปุ๋ยทุกเดือนและหมั่นเด็ดดอกที่โรยแล้วทิ้ง ระบบรากเล็กไม่ควรเปลี่ยนกระถางใหม่บ่อยๆ เว้นแต่รากจะงอกออกมามากเกินไป จนทำให้ออกดอกลำบากเท่านั้น

เคล็ดลับ : พืชชนิดนี้ไม่ชอบเปลี่ยนสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคยแล้วแม้เพียงเล็กน้อย ควรพยายามย้ายต้นที่ตั้งตัวได้แล้วให้น้อยที่สุด

ต้นไม้ชนิดที่ 3 : ซีบร้า
(Aphelandra squarrosa: zebra plant)

ซีบร้า (Aphelandra squarrosa: zebra plant)

ซีบร้าเป็นไม้พุ่มเมืองหนาวที่มีความสะดุดตา ดอกของมันมีหนามแทรกด้วยกลีบดอกสีเหลือง (พัฒนามาจากใบอีกที) ดอกจะโผล่ออกมาจากใบที่มีขนาดใหญ่และมีเส้นใบที่มีสีและลายเหมือนกับงาช้าง ซีบร้าต้องการอยู่ในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิต่ำประมาณ 10°เซลเซียส ในฤดูหนาว อย่าตั้งกระถางทิ้งไว้ใกล้กับหน้าต่างโดยเฉพาะในช่วงเวลากลางคืน หมั่นดูแลอย่าให้ดินในกระถางแห้ง เพราะช่วงฤดูหนาวเป็นช่วงที่พืชกำลังพักตัว ส่วนในช่วงที่พืชกำลังเจริญเติบโต ให้ใส่ปุ๋ยน้ำสูตรธรรมดาสัปดาห์ละครั้ง

เคล็ดลับ : หมั่นตรวจหาเพลี้ย และแมลงพวกเพลี้ยแป้งหรือเพลี้ยเกล็ด

ต้นไม้ชนิดที่ 4 : บรอมีเลียด
(Bromeliad)

บรอมีเลียด (Bromeliad)

บรอมีเลียดเป็นไม้วงศ์เดียวกับสับปะรด ซึ่งมีจำนวนกว่า 700 ชนิด พันธุ์ผสมก็มีหลายสายพันธุ์เช่นกัน บางพันธุ์มีดอกสวยสะดุดตา แต่ทุกพันธุ์จะมีใบสวยได้รูปสมมาตรกันพอดีเหมือนดอกกุหลาบ มีใบสวยงาม สีสันฉูดฉาด ออกดอกอยู่ได้นานหลายเดือน บรอมีเลียดส่วนมากชอบอุณหภูมิประมาณ 20-25°เซลเซียส และต่ำกว่านี้เล็กน้อยในฤดูหนาว การดูแลบรอมีเลียด กลางช่อใบควรมีน้ำขังอยู่เพื่อให้ความชื้นซึมไปถึงราก ควรให้ปุ๋ยน้ำที่เจือจางมากๆ ทุก 3 สัปดาห์

เคล็ดลับ : บรอมีเลียดมีระบบรากเล็กมาก จึงไม่จำเป็นต้องปลูกในกระถางที่ใหญ่มากเกินไปจนทำให้ด้านบนหนักเกิน

ต้นไม้ชนิดที่ 5 : ไซคลาเมน
(Cyclamen persicum: cyclamen)

ไซคลาเมน (Cyclamen persicum: cyclamen)

พืชโปรดของบรรดาร้านดอกไม้เพราะทั้งใบทั้งดอกมีความสวยงามต้องตานัก มีทุกระดับสีตั้งแต่สีขาวไปจนถึงสีแดงเข้ม ต้องการอากาศเย็นจึงปลูกได้ทางภาคเหนือของประเทศไทย ไซคลาเมนต้องการอุณหภูมิที่ไม่สูงเกิน 10-13°เซลเซียส ตั้งกระถางไว้บนจานรองที่ใส่กรวดเปียกๆเพื่อให้มีความชื้นสูงไว้ระหว่างออกดอกควรให้ปุ๋ยที่ค่อยๆแตกตัวอย่างช้าๆ

เคล็ดลับ : วิธีให้น้ำไซคลาเมนที่ดีที่สุดคือให้จากด้านล่างโดยวางกระถางไว้ในอ่างน้ำประมาณ 1 ชั่วโมง ปล่อยให้น้ำส่วนเกินไหลออกจนหมดก่อนนำกลับไปวางบนจานรองเหมือนเดิม

ต้นไม้ชนิดที่ 6 : กุหลาบหิน
(Echeveria derenbergii: painted lady)

กุหลาบหิน (Echeveria derenbergii: painted lady)

กุหลาบหินเป็นไม้เมืองหนาวที่มีลักษณะอวบอิ่มไปด้วยใบอ้วนๆ ออกดอกสีขาวตามกิ่งที่อ่อนโค้งมีดอกสีแดงแกมส้ม เหมาะกับอุณหภูมิห้อง หรือควรเก็บไว้ในกระถางที่มีอุณหภูมิประมาณ 13-16°เซลเซียส ในฤดูร้อนให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ รอให้ผิวหน้าดินในกระถางแห้งก่อนรดน้ำอีกครั้ง ในฤดูหนาว รดน้ำให้พอเพื่อไม่ให้พืชเหี่ยว ใช้ปุ๋ยน้ำเจือจางครึ่งหนึ่งโดยรดทุกสัปดาห์

เคล็ดลับ : อย่ารดน้ำจากด้านบน เพราะน้ำที่ค้างอยู่ตามใบอาจะทำให้ใบเน่าได้ ควรตั้งกระถางบนจานรองที่ใส่น้ำไว้ จากนั้นรินน้ำในจานรองออกให้หมด

ต้นไม้ชนิดที่ 7 : ไซโกแคคตัส
(Epiphyllum, Schlumbergera:
orchid cactus zygocactus)

ไซโกแคคตัส (Epiphyllum, Schlumbergera: orchid cactus zygocactus)

ไซโกแคคตัสนิยมปลูกกันเพราะให้ดอกใหญ่ได้ทรงสมมาตรกัน ไซโกแคคตัสหรือที่เรียกกันอีกชื่อว่า กระบองเพชรคริสต์มาส ใบจะโน้มต่ำออกดอกที่ไม่มีรูปทรงที่แน่นอน ไซโกแคคตัสทั้ง 2 สายพันธุ์ มีสีให้เลือกหลากสี เป็นไม้อากาศที่เหมาะจะเลี้ยงเป็นไม้กระถางแขวน เจริญเติบโตได้ดีในอุณหภูมิระหว่าง 10°เซลเซียส ถึงประมาณ 25°เซลเซียส ไซโกแคคตัสนี้มักชอบขึ้นอิงต้นไม้ต้นอื่น ควรให้น้ำสม่ำเสมอตลอดปี ในฤดูหนาวให้น้ำแต่น้อยพอให้ดินในกระถางชื้น เมื่อมีหน่อดอกออกมาควรให้ปุ๋ย อย่ารีบเปลี่ยนกระถางเพราะระบบรากเล็ก ถ้าไม่เปลี่ยนกระถางจะออกดอกดีกว่า

เคล็ดลับ : พยายามอย่าเคลื่อนย้ายต้นขณะที่ต้นกำลังมีหน่อดอกออกมา ในช่วงนี้หากเปลี่ยนที่เปลี่ยนทางจะทำให้ดอกร่วงได้ เมื่อดอกเริ่มบานถึงจะเคลื่อนย้ายไปอวดโฉมที่อื่นได้ ดอกจะอยู่ได้นานในห้องที่มีอากาศเย็น

ต้นไม้ชนิดที่ 8 : คริสต์มาส
(Euphorbia pulcherrima: poinsettia)

คริสต์มาส (Euphorbia pulcherrima: poinsettia)

ต้นคริสต์มาสเป็นไม้พุ่มเขตร้อนที่เจนตา ออกดอกสีแดง ชมพู และขาว ในฤดูหนาวตั้งไว้ในอุณหภูมิห้องปรกติ หรือประมาณ 13-18°เซลเซียส รดน้ำสม่ำเสมอ รอให้หน้าดินในกระถางแห้งก่อนรดน้ำครั้งต่อไป

เคล็ดลับ : ต้นคริสต์มาสสามารถบังคับให้ออกดอกนอกฤดูได้โดยการเก็บไว้ในที่มืดอย่างต่ำวันละ 14 ชั่วโมง เมื่อนำไปโดนแดดหน้าร้อนอีกครั้ง กลีบฐานของดอกจะเปลี่ยนเป็นใบสีเขียว หลังฤดูหนาวให้ตั้งกระถางไว้ในที่แดดรำไรในสวนหรือบนระเบียงบ้านเพื่อให้พืชมีการฟื้นตัว

ต้นไม้ชนิดที่ 9 : เปอร์เซียนไวโอเลต
(Exacum affine: Persian violet)

เปอร์เซียนไวโอเลต (Exacum affine: Persian violet)

เปอร์เซียนไวโอเลตเป็นไม้ข้ามปีอายุสั้น ออกดอกดก มีกลิ่นหอม ดอกสีฟ้าจางๆ เลี้ยงเหมือนไม้ที่มีอายุฤดูเดียว เมื่อออกดอกแล้วทิ้งไปเพื่อปลูกใหม่ ปลูกทางภาคเหนือของไทยได้ ไม้นี้จะงามสะพรั่งในอุณหภูมิระหว่าง 13-16°เซลเซียส ดูแลให้มีความชื้นอยู่ตลอดเวลาโดยการให้น้ำบ่อยๆ ตั้งกระถางไว้ในถาดที่มีกรวดชื้นน้ำ แล้วฉีดละอองน้ำให้ใบ ให้ปุ๋ยน้ำสูตรทั่วไปทุก 2 สัปดาห์

เคล็ดลับ : เด็ดดอกที่โรยแล้วทิ้งไป ต้นจะพยายามออกดอกอีกเพื่อผลิตเมล็ด เป็นการช่วยยืดเวลาออกดอกออกไป

ต้นไม้ชนิดที่ 10 : โฮย่าขาว
(wax flower)

โฮย่าขาว (wax flower)

โฮย่าขาวเป็นไม้เลื้อยเขตป่าฝนจากทางเหนือของประเทศออสเตรเลีย มีอยู่ด้วยกันหลายชนิดและหลายสายพันธุ์ ชนิดที่รู้จักกันดีที่สุดได้แก่ โฮย่าขาว (Hoya carnosa) ที่ออกดอกสีชมพูอ่อนเป็นมันกลิ่นหอมละมุน โฮย่าเจริญเติบโตได้ดีที่สุดในอุณหภูมิระหว่าง 12-18°เซลเซียส ในฤดูร้อนอาจร้อนกว่านี้ได้เล็กน้อย รดน้ำให้มาก ให้น้ำน้อยลงในฤดูหนาว อย่ารีบเปลี่ยนกระถาง โฮย่าจะออกดอกดีถ้าไม่เปลี่ยนกระถาง

เคล็ดลับ : อย่าตัดดอกหรือเด็ดดอกที่โรยแล้วทิ้ง ให้ตัดแต่งเมื่อต้นมีอายุมากแล้ว ก้านดอกจะแทงดอกใหม่ได้อีกหลายปี

ต้นไม้ชนิดที่ 11 : อาซาเลีย
(azalea)

อาซาเลีย (azalea)

อาซาเลียเป็นไม้พุ่มเมืองหนาวที่อาจปลูกได้ทางภาคเหนือของไทย ถ้าเลี้ยงในกระถางเวลาโตเต็มที่จะสูงประมาณ 45 เซนติเมตร และพุ่มจะกว้างประมาณ 45 เซนติเมตร ดอกอาจออกเป็นดอกเดี่ยวหรือดอกซ้อนและมีหลายสี ชอบอยู่ในห้องที่เย็นๆ อุณหภูมิประมาณ 7-16°เซลเซียส แม้จะชอบอากาศเย็นแต่ในฤดูหนาวอย่าตั้งทิ้งไว้ใกล้หน้าต่างตอนกลางคืนเด็ดขาด รดน้ำให้มาก น้ำที่รดไม่ควรเป็นน้ำกระด้างและอย่าใช้น้ำที่มีฤทธิ์เป็นด่าง ฉีดพ่นน้ำที่ใบทุกวัน ถ้าเลี้ยงเป็นฤดูที่สองควรให้ปุ๋ยน้ำสูตรปลอดด่างทุก 2 สัปดาห์

เคล็ดลับ : หลังออกดอกควรย้ายกระถางไปไว้ในสวนบริเวณที่ร่มและเย็นหรือไว้ที่ระเบียงบ้าน ถ้าจำเป็นก็เปลี่ยนกระถางให้ใหม่แล้วรดน้ำสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้ดินในกระถางแห้ง ในเขตหนาวยกกลับบ้านไปให้ในห้องที่อากาศเย็น ในเขตที่ไม่หนาวนัก อาจจะทิ้งไว้นอกบ้านจนกว่าหน่อดอกจะแทงออกมา ระหว่างที่อยู่นอกบ้าน ควรระวังไรสองจุดและแมลงมากินอาซาเลียไว้ให้ดี

ต้นไม้ชนิดที่ 12 : กล้วยไม้

กล้วยไม้

กล้วยไม้เป็นไม้ประดับ ที่เมื่อเวลาออกดอกเราจะนำมาประดับไว้ในบ้านเป็นการชั่วคราว ถ้าดูแลดีๆ กล้วยไม้จะเจริญเติบโตและออกดอกในบ้านได้หลายรุ่น กล้วยไม้ที่เป็นนิยมจะได้แก่ คัทลียา หวาย รองเท้านารี กล้วยไม้ส่วนมากจะชอบอุณหภูมิระหว่าง 18-25°เซลเซียส ให้ปุ๋ย ฉีดฝอยน้ำทุกสัปดาห์ในฤดูร้อน ระหว่างพืชกำลังโตให้น้ำให้มาก เปลี่ยนกระถางทุกๆ 2-3 ปี ใช้ปุ๋ยให้เหมาะกับพันธุ์ของกล้วยไม้

เคล็ดลับ : ดอกกล้วยไม้จะทนขึ้นหากในระหว่างที่ออกดอกกล้วยไม้อยู่ในที่อากาศเย็นและแห้ง

ต้นไม้ชนิดที่ 13 : พริมูล่า
(primula)

พริมูล่า (primula)

พริมูล่าเป็นไม้เมืองหนาวที่ยังไม่มีการนำเข้ามาปลูกในประเทศไทย มีอยู่ 3 ชนิดที่สามารถนำมาปลูกเป็นไม้ดอกในบ้านได้ คือ Primula malacoides (fairy primrose) ซึ่งให้ดอกเล็กๆจำนวนมากสีชมพูหรือสีขาว P. obconica (poison primrose) ซึ่งเป็นดอกสีฟ้า ชมพูหรือขาว และ P. sinensis (Chinese ptimrose) มีดอกสีขาวหรือสีชมพู ทุกชนิดเติบโตได้ดีในอุณหภูมิระหว่าง 10-15°เซลเซียส ฉีดพ่นละอองน้ำที่ใบทุกวัน ให้ปุ๋ยเจือจางทุกสัปดาห์ระหว่างการออกดอก เด็ดดอกที่โรยแล้วทิ้งไป พริมูล่าชนิด P. obconica มักอยู่ได้ 2-3 ปี ชนิดอื่นเมื่อออกดอกไปแล้วก็จะตาย

เคล็ดลับ : พริมูล่า ชนิดมีพิษ (P. obconica) ได้ชื่อมาเพราะมักทำให้เกิดการระคายผิวในคน ส่วนมากสายพันธุ์ใหม่ก่อให้เกิดอาการแพ้น้อยลง แต่ก็ควรระวังไว้เวลาเลี้ยงพืชชนิดนี้ ถ้าเกิดผื่นคัน ควรถอนทิ้งไปเลย

ต้นไม้ชนิดที่ 14 : อัฟริกันไวโอเลต
(Saintpaulia ionantha)

อัฟริกันไวโอเลต (Saintpaulia ionantha)

อัฟริกันไวโอเลตเป็นไม้ดอกรูปทรงกะทัดรัดที่นิยมปลูกกันมาก ออกดอกประมาณ 10 เดือนต่อปี ต้องการอุณหภูมิระหว่าง 18-24°เซลเซียส แต่สามารถทนอากาศหนาวได้ถึง 13°เซลเซียส ในฤดูหนาวได้หากให้ดินในกระถางแห้งสักหน่อย ให้น้ำเมื่อดินในกระถางแห้ง รินน้ำอุ่นๆลงในจานรองกระถางเพื่อไม่ให้น้ำเลอะใบ ในช่วงฤดูปลูกทุกครั้งที่ให้น้ำ ควรให้ปุ๋ยน้ำสูตรทั่วไปที่มีส่วนผสมของไนโตรเจนฟอตเฟส และโพแทสเซียมให้อัตราส่วนที่เท่ากัน

เคล็ดลับ : เปลี่ยนกระถางทุก 2 ปี ริดใบรอบนอกที่เบียดขอบกระถางจนช้ำออก

ต้นไม้ชนิดที่ 15 : เดหลี
(Spathiphyllum: peace lily)

เดหลี (Spathiphyllum: peace lily)

เดหลีเป็นไม้ที่มีดอกเป็นรูปหัวธนูและใบเป็นมันด่าง มีหลายชนิดพันธุ์ ทั้งแบบต้นสูงและแบบต้นเตี้ย เจริญเติบโตได้ดีในห้องที่มีอุณหภูมิระหว่าง 13-16°เซลเซียส ให้น้ำพอประมาณรอให้หน้าดินในกระถางแห้งสักพักก่อนรดน้ำครั้งใหม่ ให้ปุ๋ยน้ำสูตรทั่วไป

เคล็ดลับ : ตั้งกระถางในจานรองที่ใส่กรวดชื้นไว้ ฉีดฝอยน้ำที่ใบเป็นประจำเพื่อไล่ไรสองจุดซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจ ใช้ฟองน้ำลูบใบบ้างเพื่อกำจัดฝุ่น

ต้นไม้ชนิดที่ 16 : เคปพริมโรส
(Streptocarpus: cape primrose)

เคปพริมโรส (Streptocarpus: cape primrose)

เคปพริมโรสเป็นพืชเมืองหนาวที่ออกดอกเป็นช่อ มีทั้งชนิดที่มีก้านใบและไม่มีก้านใบ ออกดอกเป็นรูปทรัมเป็ต งอกงามได้ดีในห้องที่อากาศอบอุ่น ต้องอยู่ในอุณหภูมิอย่างน้อย 13°เซลเซียส เพื่อให้โตเร็ว เคปพริมโรสสามารถทนอากาศเย็นได้ประมาณ 10°เซลเซียส ในฤดูหนาวไม่ควรทิ้งกระถางไว้ใกล้หน้าต่างตอนกลางคืน ขณะที่ต้นกำลังโต ปล่อยให้หน้าดินในกระถางแห้ง ก่อนรดน้ำครั้งต่อไป ในช่วงฤดูหนาวพืชจะมีการพักตัว พยายามอย่ารดน้ำบ่อยจนเกินไป ช่วงที่พืชกำลังโตให้ปุ๋ยน้ำเจือจางครึ่งหนึ่งทุก 2 สัปดาห์

เคล็ดลับ : ในขณะที่พืชกำลังเจริญเติบโต ควรให้ความชื้นเพิ่มด้วยการตั้งกระถางต้นไม้ในถาดที่มีกรอดชื้นๆอยู่ ควรให้พืชได้อยู่ในพื้นที่อากาศถ่ายเทมราดีเพื่อป้องกันโรคเชื้อรา เปลี่ยนกระถางทุกๆ 2 ปี โดยเลือกกระถางแบบตื้น

ทำเลที่เหมาะกับต้นไม้

  • แดดโดยตรง : ควรตั้งไว้ตรงขอบหน้าต่างหันหน้าหาทิศเหนือหรือทิศตะวันตกหรือตั้งไว้ตรงที่มีหลังคาใส ในฤดูร้อนอาจจะต้องบังแดดช่วงเที่ยงวันด้วย
  • แดดจัด : ควรตั้งไว้ข้างหน้าต่างด้านทิศตะวันตกและมีม่านโปร่งๆบัง หรือตั้งไว้ที่ขอบหน้าต่างด้านทิศตะวันออก หรือใกล้หลังคาใส
  • แดดรำไร : ควรตั้งที่ขอบหน้าต่างด้านทิศตะวันออกหรือทิศใต้หรือห่างจากหน้าต่างที่แดดจัดประมาณ 1 เมตร อย่าให้โดนแดดโดยตรง
  • ร่มเงา : ควรตั้งไว้ในมุมที่มีร่มเงาในห้องที่สว่าง หรือให้ห่างจากหน้าต่างด้านทิศใต้ประมาณ 2 เมตร

อ้างอิง : wikipedia

Exit mobile version