รัฐเผด็จการฟาสซิสต์ (Fascism) : คำว่า “ฟาสซิสต์” ทำให้นึกถึงคนที่ไร้ขันติธรรม บ้าคลั่ง และหัวรุนแรง แต่พวกที่เรียกตัวเองว่าฟาสซิสต์ในอิตาลี ปี 1919 เป็นนักอุดมคติที่เชื่อมั่นในภารกิจขจัดความชั่วร้าย ซึ่งบ่อนทำลายความยิ่งใหญ่ของชาติ และเปลี่ยนอิตาลีไปสู่ดินแดนแห่งการสร้างสรรค์ วีรกรรม ความยุติธรรม และความสุข
คำนี้มาจากคำในภาษาละติน ‘Fasces’ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งผู้มีอำนาจในโรมโบราณ ในอิตาลี ปี 1919 ฟาสซิสต์คือ การต่อสู้ของพวกสันนิบาตแห่งนักสู้ (Fasci di combattimento) ที่มุ่งจัดระเบียบทางการเมืองและสังคมขึ้นมาใหม่จากความวุ่นวายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยอดีตผู้นำสังคมนิยม เบนิโต มุสโสลินี เป็นผู้ก่อตั้งขึ้นเพื่อปลุกระดมจิตใจอันห้าวหาญของผู้คน
การบรรลุซึ่งความฝัน
ในฐานะผู้นำ ปี 1925 – 1943 มุสโสลินีก่อตั้งรัฐที่มีพรรคการเมืองเดียว และปฏิรูปสถาบันอย่างถอนรากถอนโคน แต่ ‘การไปสู่สังคมฟาสซิสต์’ นั้นกลับเป็นฝันที่ไม่มีวันเป็นจริงได้ การสยบพรรคฝ่ายค้านนั้นเป็นเรื่องง่าย แต่การเปลี่ยนให้ทุกคนหันมาเทิดทูนรัฐและประมุขนั้นทำได้ยาก เช่นเดียวกับคำอ้างที่จะสร้างเศรษฐกิจและกำลังทหารให้แข็งแกร่งขึ้นก็เป็นแค่ลมปาก
ในทศวรรษ 1930 มุสโสลินีเริ่มขยายอาณาเขตโดยยึกครองเอธิโอเปียและผูกไมตรีกับอาณาจักรเยอรมันที่สาม การร่วมแกน ‘อักษะ’ ที่เป็นพันธมัตรของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์นี้นำจุดจบมาสู่อำนาจการปกครองของเขา เมื่อมหาอำนาจฝ่ายอักษะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำในสงครามโลกครั้งที่ 2 กองกำลังของอิตาลีก็ไม่แข็งแกร่งพอที่จะต้านทานได้ ในเดือนเมษายน 1945 มุสโสลินีถูกยิงตายโดยพลพรรค ‘ฟาสซิสต์’ แปรความไปสู่กระบวนการชาตินิยมฝ่ายขวาแบบอื่นๆ
ขบวนการที่อันตรายที่สุด คือ ลัทธินาซีในเยอรมันนี ซึ่งมุ่งทำลายลัทธิสังคมนิยมมาร์กซิสต์เพื่อสถาปนา ‘ระเบียบใหม่’ ขึ้นบนสังคมชาตินิยม ฮิตเลอร์มีจุดประสงค์ที่จะขัดขืนข้อตกลงสันติภาพที่น่าอดสู หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เขาต้องการรวมชนชาติเยอรมันไว้ในพรมแดนของชาติใหม่ โดยยึดครองอาณานิคมในโปแลนด์และรัสเซียตะวันตก และสร้างชาติที่ประชากรล้วนมีเลือดและวัฒนธรรมอัน ‘บริสุทธิ์’
ลัทธินาซีในเยอรมันนี
นาซีสร้างชาติเยอรมันขึ้นมาใหม่โดยการทำสงครามกับ ‘ศัตรูในชาติ’ ซึ่งมาทั้งชาวยิว ยิปซี คอมมิวนิสต์ พวกรักร่วมเพศ คนพิการ และใครก็ตามที่ต่อต้าน ในปี 1939 นโยบายต่างประเทศของเยอรมันนีนำไปสู่สงครามกับศัตรูภายนอกด้วย ซึ่งอาณาจักรที่สามตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะใช้กำลังอาวุธอย่างไม่ปราณีในการทำสงครามทั้งสองด้าน มีการปลุกระดม โฆษณาชวนเชื่อ ข่มขู่ คุกคาม ตามรังควานและฆ่าคนเป็นว่าเล่น ประชาชนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส การสังหารโหดยุติลงเมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรได้รับชัยชนะในปี 1945.