Thursday, 21 November 2024

Perspective รายการดีสร้างแรงบันดาลใจ : ดร.แสงสุข | เจ้าของแบรนด์ Smooth E

วันนี้แอดอยากมาแนะนำรายการดีๆ จากคุณเปอร์ สุวิกรม ชื่อรายการ Perspective จาก ช่องยูทูป JSL Global Media ซึ่งเป็นรายการทอล์กโชว์ที่จะนำคนที่ประสบความสำเร็จมาพูดคุย แนะนำความรู้ในด้านธุรกิจ การตลาด และการบริหาร พร้อมสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ชมไปด้วยในขณะเดียวกัน วันนี้แอดเลยอยากจะยกตัวอย่าง ตอนที่คุณเปอร์ ไปสัมภาษณ์ ดร.แสงสุข (เจ้าของแบรนด์ Smooth E) มาให้ฟังกันค่ะ

ทำความรู้จักกับ ดร.แสงสุข พิทยานุกุล

ดร.แสงสุข พิทยานุกุล

เจ้าของแบรนด์ Smooth E และ ยาสีฟันเดนทิสเต้ DENTISTE’ และยังเป็นเจ้าของโรงเรียนสอนทำธุรกิจแห่งแรกของประเทศไทย (Business Incubation School หรือ BIS)

ประวัติการเริ่มทำธุรกิจของ ดร.

เริ่มต้นจาก ตัว ดร.เอง เรียนจบเภสัชกรมา ได้ไปเดินสายขายยา ตามร้าน โรงพยาบาลทั่วไป กับพวกหมอคนอื่นๆ ทำไปได้ 1 ปี ก็ไปเรียนต่อต่างประเทศ เป็นด้านการบริหารธุรกิจ เสร็จแล้วก็ไปทำงานบริษัทอยู่ประมาณ 5-6 ปี ก็เลยลาออกมาเปิดร้านขายยา ตอนนั้นรายได้ดีมาก แต่เป็นเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ซึ่งถือว่าดีมากๆ กำไรเดือนละ 150,000 บาท ซึ่งร้านอยู่ที่ศูนย์การค้าสยาม มีนักท่องเที่ยวมาใช้บริการและท่องเที่ยวกันเยอะ

เพราะว่าเป็นศูนย์การค้าเดียวที่ได้ลงในพ็อกเก็ตบุคที่ฝรั่งทุกคนเมื่อเข้ามาในเมืองไทยจะต้องอ่าน ชื่อศูนย์การค้าสยาม เมื่อเจอร้านขายยาเค้าก็จะมาแวะ เพราะช่วงนั้นยังมีโรคมาเลเรีย เลยต้องมาซื้อยาไว้ เผื่อจะท้องเสีย หรือไม่สบาย แต่ร้านมีลักษณะพิเศษ เป็นร้านที่เล็กมาก ขนาดแค่ 6 ตารางเมตร จะเรียงยาเป็นตู้บางๆซ้อนกันไว้สูงๆ ถ้าหากลูกค้ามาสั่งยา 1000 เม็ดแต่ที่ร้านมี 200 เมตร ก็จะแก้ปัญหาโดยการบอกลูกค้าว่า เดี๋ยวช่วงบ่ายผมจะนำยาไปส่งให้ สามารถโทรมาสั่งแล้วไปส่งได้ ส่งที่ไหนก็ส่งให้หมดเลย

ข้อคิดดีๆจาก ดร.แสงสุข

การฝึกการตายให้ตายเป็น เป็นประโยคที่ ดร.แสงสุข เรียนรู้จากการไปบวช เมื่อไหร่ก็ตามที่เรามีกิเลส หรือ ความอยาก มันจะดึงเรากลับมาสู่จุดเริ่มต้นเสมอ

จนอยู่มาวันหนึ่ง ศูนย์การค้าสยามขอพื้นที่คืน !

ดร.เล่าว่า : ช่วงนั้นลูกก็เพิ่งคลอด บ้านก็เพิ่งผ่อน รถก็เพิ่งผ่อน ถึงกับต้องนอนก่ายหน้าผาก  แต่โชคดีที่ภรรยาของ ดร.เป็นคนมองโลกในแง่ดี บอกว่าอาจจะเป็นโอกาสทางธุรกิจที่ดีขึ้นกว่าเดิมก็เป็นได้ ก็เลยมาเปิดบริษัทนำเข้าสินค้าพวกนวัตกรรม สินค้าตัวแรกที่นำมาขายคือ แผ่นตรวจครรภ์ที่ขึ้นสองขีด แต่สักพักนึงก็เปลี่ยนสินค้ามาเรื่อยๆ จนมาเจอสมูทอี เป็นสินค้าตัวที่ 9 หรือ 10 ที่นำเข้ามาขาย แรกๆนำเข้ารุ่นที่เป็นแคปซูล แต่ต้องเสียภาษีถึง 40% เลยคิดหาวิธีประหยัด 40% นี้ เพื่อไปทำส่วนมาเก็ตติ้งได้น่าจะดีกว่า

เกิดการเปลี่ยนกลยุทธ์ทางการค้า..

ดร.เล่าว่า : สมูทอีแจ้งเกิดตอนต้มยำกุ้งพอดี ทุกอย่างราคาถูกลงหมด ค่าโฆษณาก็ถูก ค่าผลิตหนังก็ถูก ก็เลยทำตลาดในช่วงนั้น กลับกันกับคนอื่นที่ถอดการลงทุนออกทั้งหมด

การทำตลาดสวนกระแส..

ดร.เล่าว่า :

ความเชื่อเดิมคือลูกค้าจะเชื่อว่ามีฟองเยอะๆแล้วจะดี แต่มันดันมีช่วงเป็นสิวที่แพ้จนต้องไปหาหมอ หมอบอกช่วงนี้งดใช้โฟมมีฟองนะ เพราะบางครั้งฟองจะทำให้เกิดการระคายเคือง สิวไม่หายได้ แต่ลูกค้าก็ยังต้องการโฟมที่มีฟอง เลยพยายามหาสิ่งที่พิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ ผลหลังการใช้มาช่วยยืนยัน

สิ่งที่ต้องทำคือ..

“ถ้าหากคิดจะทำธุรกิจ เลิกเลยถ้าคิดว่าจะขายเยอะๆ ให้ชัดเจน สินค้าของคุณมีอะไรดี ถ้าไม่มีอะไรดี อย่าทำธุรกิจ ถ้าสินค้าคุณไม่แตกต่างก็อย่าทำธุรกิจ เสียเวลา แตกต่างไม่พอ ต้องโดนใจกลุ่มเป้าหมายด้วย”

วิธีนำไปสู่ความเข้าใจกับสิ่งที่เราไม่เข้าใจ..

ดร.แนะนำว่า : ควรทำวิจัยหรือทำรีเสิร์ช  เช่นการหา consumer inside โดยการยกตัวอย่าง ในผลิตภัณฑ์เดนทิสเต้ หา consumer inside เจอได้ยังไง?

สิ่งสำคัญ ..

หลายคนที่ทำมาเก็ตติ้งเป็น แสดงว่าเค้ารับรู้ทางใจไม่ใช่ภายนอก

เมื่อให้นักวิทยาศาสตร์ตรวจสอบ เขาบอกว่าดีมาก เพราะส่วนผสมสกัดจากธรรมชาติ เมื่อใช้แล้วรู้สึกดีมาก แต่เราก็ยังหาไม่เจอ วิธีการที่ดีที่สุดคือ ทำวิจัยกับผู้รู้จริง ก็คือ ทันตแพทย์  ในประเทศไทยมีทัตแพทย์เป็นหมื่นคน จริงๆ เราทำรีเสิชกับ 100 คน ก็ได้แล้ว แต่ของ เดนทิสเต้ ทำรีเสิชจาก ทันตแพทย์ถึง 8000 คน. ส่งแบบทดสอบ 8000 ฉบับ สินค้าทดลอง 8000 ชิ้น ส่งไปตามที่อยู่ 8000 แห่ง โดยคาดหวังผลตอบรับเพียงแค่ 1%  คือ 80 ฉบับ แต่ปรากฏว่ามีผลตอบรับกลับมาถึง 17% เกือบ 1000 ฉบับ !

ทำไมสมูทอีถึงได้ไปขายที่ญี่ปุ่น ทั้งที่เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ ยากมากๆ?

จากการถามคู่ค้าทั้งหมดที่เข้าญี่ปุ่น  มีประเด็นสำคัญอยู่เพียงประเด็นเดียวคือ สินค้าเรามีอะไรดีในสายตาของคนญี่ปุ่น? อันดับแรกที่เค้าแรงค์กิ้งไว้ คือคนญี่ปุ่นไม่ชอบที่สุดคือ เรื่องของกลิ่นปาก  มันเป็นเรื่องที่บริษัทผลิตยาสีฟันทุกที่ทราบกันดีว่า ลูกค้าทุกๆคนไม่ชอบส่วนตรงนี้ แต่การเสนอผลิตภัณฑ์ของเดนทิสเต้มีความแตกต่างจากผลิตภัณฑ์ของบริษัทอื่นๆ ให้ความสำคัญทั้งประโยชน์ทางกายและประโยชน์ทางใจ

ยกตัวอย่าง ทางกาย คือ แปรงเสร็จแล้วดม ฟันก็หอม แต่ทางใจ คือ ปกติแล้วคนญี่ปุ่นจะไม่ค่อยแสดงความรักให้กันแบบเปิดเผย แต่เดนทิสเต้ สนับสนุนการแสดงออกถึงความรักอย่างเปิดเผย โดยการให้กำลังใจ มีการไปเปิดบูธให้คนแสดงความรักกันแบบเปิดเผย ถือว่าช่วยสนับสนุนให้เขาเกิดความมั่นใจได้มากขึ้น ทำให้ปัจจุบันนี้ เดนทิสเต้ มีขายถึง 25 ประเทศ ทั่วโลก

ติดตามต่อกันได้ที่ ..

ข้อมูลที่มาและรูปภาพจาก : JSL Global Media

อันนี้เป็นอันที่แอดสรุปมาแล้ว อาจจะเป็นภาษาพูดไปสักหน่อย ขออภัยด้วยเด้อ แต่เราสามารถไปรับชมกันต่อได้ที่ลิ้งค์ด้านบนนี้นะทุกคน 🙂 เผื่อว่าจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้ใครสักคนได้ ลองไปดูกันเลยย !

Exit mobile version