พืชอวบน้ำเป็นต้นไม้ที่สวยงาม และปรับตัวเข้ากับสภาวะแวดล้อมที่แห้งแล้งได้ตามธรรมชาติ โดยพัฒนาใบหรือลำต้นให้หนาและอวบน้ำเพื่อเก็บรักษาความชื้น พืชอวบน้ำมีหลายประเภท (รวมทั้งกระบองเพชร) เหมาะที่จะปลูกเป็นไม้ประดับในบ้านเพราะดูแลง่าย
พืชอวบน้ำบางชนิดอาจปลูกไว้กลางแจ้งได้ แต่พวกที่มีใบอ่อนนุ่มอาจจะต้องปลูกเอาไว้ในโรงเรือนหรือมีพลาสติกบังเพื่อป้องกับฝนตกหนักที่อาจจะก่อความเสียหายให้กับต้นพืช
กุหลาบหิน (Sedum) บางสายพันธุ์ ซึ่งพบในป่าตามซอกผาหรือโขดหิน มักมีสีสันสวยงามและรูปร่างแปลกตาเหมาะที่จะนำมาประดับสวนหิน
พืชอวบน้ำที่อยู่ในร่มมักต้องการแสงมาก จึงควรหันกระถางเป็นครั้งคราวเพื่อให้ต้นไม้ได้รับแสงทุกด้าน ส่วนใหญ่ชอบอากาศแห้งแต่อบอุ่น ในขณะที่บางชนิดอาจต้องการอากาศเย็นบางช่วงเพื่อกักตัว
การให้น้ำพืช
ควรให้น้ำเป็นครั้งคราว ถ้ารดมากเกินไปอาจจะทำให้ต้นเน่าได้ น้ำฝนเป็นน้ำที่ดีที่สุด แต่น้ำประปาก็ใช้ได้ ควรให้น้ำตามปกติถ้าต้นไม้เจริญเติบโตดี ไม่ควรให้น้ำในระยะที่พืชกำลังพักตัว ให้รดน้ำพอชื้นๆกันดินแห้งก็พอ
การสาดน้ำไปที่พืชโดยตรง อาจจะทำให้พืชอวบน้ำเสียหายได้ เช่น ใบอาจจะด่างเป็นดวงหรือกระดำกระด่าง เพื่อป้องกันปัญหานี้อาจวางกระถางลงในน้ำลึก 5 เซนติเมตร เพื่อให้ดินดูดซับน้ำจนชื้นถึงปากกระถาง
ไม่ควรรดน้ำบ่อยๆ แม้ในขณะที่พืชกำลังเจริญเติบโตก็ตาม ควรให้น้ำเมื่อเครื่องปลูก เช่น ดิน ทราย แห้งสนิทเท่านั้น
พืชอวบน้ำที่โตเร็ว ควรได้ปุ๋ยมาตรฐาน เช่น ปุ๋ยน้ำ เดือนละครั้งในระหว่างที่พืชกำลังเจริญเติบโต
การขยายพันธุ์โดยใช้วิธีปักชำ
การขยายพันธุ์พืชอวบน้ำอาจใช้วิธีปักชำหรือเพาะเมล็ด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของพืช เมื่อตัดใบหรือลำต้นแล้วก็ควรทิ้งไว้ให้แห้งสัก 2-3 วัน แล้ววางใบบนผิวหน้าของเครื่องปลูก กดส่วนปลายของใบที่ตัดไว้มาลงในดิน ส่วนลำต้นก็ตัดออกและปักชำเช่นเดียวกันกับหน่อ พืชอวบน้ำที่ขึ้นเป็นกออาจแยกย่อยออกได้และนำไปเพาะลงกระถางทันที
การเพาะเมล็ด
สำหรับการเพาะเมล็ดอาจทำได้ตลอดทั้งปี ควรรองกระถางด้วยกรวดหรือหินภูเขาไฟ (Perlite) สูงประมาณ 1.5 เซนติเมตร เพื่อให้ช่วยในการระบายน้ำ หลังจากนั้นใส่เครื่องปลูก ซึ่งประกอบด้วย ทรายหยาบ 1 ส่วน และดินปลูก 3 ส่วนโดยปริมาตร
นำเครื่องปลูกมาพรมน้ำให้ชื้นแล้วโรยทรายละเอียดทับหน้า โรยเมล็ดลงบนทราย (อย่าฝัง) ปิดปากกระถางด้วยพลาสติกหรือกระจก และทิ้งเอาไว้ที่อุณหภูมิประมาณ 18 องศาเซลเซียส ให้ห่างจากแสงโดยตรงจนกระทั่งเมล็ดเริ่มงอก ซึ่งใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์หรือนานกว่านั้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของพืช ให้ต้นกล้าได้รับแสงและอาจเปิดกระจกหรือพลาสติกออกเล็กน้อยเพื่อให้พืชสามารถหายใจได้ .