ประวัติศาสตร์วันนี้ขอเสนอเรื่องราวของ เซอร์วินสตัน เชอร์ชิล : ชื่อเต็มของเขาคือ เซอร์วินสตัน เลนเนิร์ด สเปนเซอร์-เชอร์ชิล เป็นผู้นำหรือนายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักรระหว่างปี 1940-1945 และสมัยที่สองในปี 1951-1955 เขาเป็นคนที่ทุกคนต่างให้การยอมรับว่าเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคสงครามของศตวรรษที่ 20
เซอร์วินสตัน เชอร์ชิล
ก่อนที่เซอร์วินสตัน เชอร์ชิลล์ (1874-1965) จะเป็นสมาชิกรัฐสภาในวัยเพียง 25 ปี เขาเคยมีอาชีพเป็นทหารและผู้สื่อข่าวทางการสงคราม เชอร์ชิลล์เกิดในแวดวงการเมือง ลอร์ด แรนดอล์ฟ เชอร์ชิลล์ พ่อของเขาเคยเป็นรัฐมนตรีคลังในสังกัดพรรคอนุรักษ์นิยม การที่วินสตันย้ายจากพรรคสหภาพ (Unionists) มาเป็นพรรคเสรีนิยม ทำให้บางคนคิดว่าเขาเป็นแค่นักฉวยโอกาสธรรมดา แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่เลย เขาก็เป็นคนเลือกกาละเทศะได้ถูกต้องที่สุดในทศวรรษต่อมา เขาก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วในพรรคเสรีนิยมจนได้เป็นประธานคณะกรรมการการค้า รัฐมนตรีมหาดไทยและนายพลเรือก่อนปี 1911
สงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้อาชีพทางการเมืองของเชอร์ชิลล์ตกวูบลง เขาพยายามจะยุติการรบนองเลือดที่ไม่มีใครแพ้ไม่มีใครชนะครั้งนี้ที่แนวรบตะวันตกโดยการเข้าโจมตีตุรกี แต่การขึ้นฝั่งที่ช่องแคบดาร์ดะแนลส์นั้นล้มเหลวไม่เป็นท่า เขาตกเป็นแพะรับบาปและถูกประณามในเรื่องนี้
แต่เขาไม่เคยยอมแพ้
หลังสงคราม เชอร์ชิลล์หวนกลับไปสู่พรรคอนุรักษ์นิยม เขาได้เป็นรัฐมนตรีคลังจากปี 1924 ถึง 1929 แต่ในทศวรรษที่ 1930 เนื่องจากเขายึดมั่นอยู่กับจักรวรรดิอังกฤษอันสวยงามและโจมตีนโยบายของรัฐบาลในการอนุโลมตาม อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เขาจึงถูกกีดกันไม่ให้ดำรงตำแหน่งสำคัญใดๆทางการเมือง
เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1939 ไม่มีนักการเมืองคนใดจะมาทาบประวัติของเขาได้ เขาต่อต้านลัทธิฟาสซิสต์ที่เริ่มเฟื่องฟู จนได้เป็นนายกรัฐมนตรีในปี 1940 วาทะที่ท้าทายและความเชื่อมั่นในชัยชนะปลุกขวัญให้คนทั้งชาติเกิดความฮึกเหิม
ตัวเขาเองมีเชื้อสายอเมริกันอยู่ครึ่งหนึ่ง จึงชักจูงให้สหรัฐสนับสนุน หลักจากสหรัฐฯ เข้าร่วมสงครามในปี 1941 เขาส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสองประเทศซึ่งมีความสำคัญยิ่งต่อการทำสงคราม แม้จะต่อต้านคอมมิวนิสต์ แต่เขาจำเป็นต้องร่วมมือกับสตาลิน ชัยชนะของพรรคแรงงานในการเลือกตั้งปี 1945 ทำให้เขาหลุดออกจากตำแหน่ง เขาจึงหันไปเขียนประวัติของตัวเองในสงคราม ซึ่งทำให้เขาประสบความสำเร็จจนได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณคดีในปี 1953
เขากลับเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งในปี 1951 – 1955 ณ จุดสูงสุดของสงครามเย็น เมื่อสิ่งที่เขาเคยเรียกในปี 1946 ว่าเป็น “ม่านเหล็ก” ได้เลื่อนลงมาแบ่งแยกยุโรปตะวันออกจากยุโรปตะวันตก อำนาจของเขาก็ลดลงหลังจากเส้นเลือกในสมองแตกในปี 1953 ในตอนท้ายเขาจำเป็นต้องยอมรับว่าอิทธิพลของอังกฤษในโลกกำลังลดน้อยลง ในรัฐพิธีฝังศพของเชอร์ชิลล์ในลอนดอน ประมุขจากประเทศต่างๆทั่วโลกมาไว้อาลัยผู้นำที่ยิ่งใหญ่และคารวะแก่การสิ้นสุดจักรวรรดินิยมของอังกฤษ.