ชุมชนถาวรของอังกฤษแห่งแรกนอกทวีปยุโรป ตั้งขึ้นในอเมริกาเหนือในปี 1607 นับแต่นั้นมา อาณานิคมของอังกฤษก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆจนเมื่อสิ้นศตวรรษที่ 19 จักรวรรดิก็แผ่ออกจากแคนาดาข้ามทวีปแอฟริกาและเอเชียใต้กับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปจนถึงออสเตรเลียและแปซิฟิก เมื่อผนวกเอาตะวันออกกลางเข้ามาอีก จักรวรรดิอังกฤษก็กว้างใหญ่ที่สุดในทศวรรษที่ 1930
ในระหว่างศตวรรษที่ 16 และครึ่งแรกของศตวรรษที่ 17 อังกฤษยังคงตามหลังสเปน สร้างจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ อังกฤษเพิ่งจะมาตั้งรกรากอยู่ตามชายฝั่งทวีปอเมริกาเหนือและบนเกาะรอบนอกในทะเลแคริบเบียน
อังกฤษเริ่มค้าขายสินค้ามีค่า คือ ยาสูบในอเมริกาเหนือ และน้ำตาล ในหมู่เกาะอินดีสตะวันตก ในศตวรรษที่ 17 ผู้อพยพส่วนใหญ่เป็นกรรมกรผู้ใช้แรงงาน และส่วนน้อยไปสร้างชุมชนใหม่ขึ้นด้วยอุดมการณ์ทางศาสนา เช่น พวกแสวงบุญที่เดินทางมากับเรือเมย์ฟลาเวอร์ในปี 1620 และพวกเพียวริตันที่มาตั้งอาณานิคมในแมสซาซูเซตส์ในทศวรรษ 1630
ขยายการค้าและแผ่อำนาจ
ในศตวรรษที่ 19 ชาวยุโรปไม่ได้ไปเอเชียเพื่อพิชิตดินแดน แต่ไปเพื่อค้าขายสินค้ามีค่าของเอเชีย โดยเฉพาะเครื่องเทศ ไหมและผ้าฝ้าย ในปี 1600 บริษัทอีสต์อินเดีย ของอังกฤษเริ่มแข่งขันทางการค้ากับบริษัทยุโรปอื่นๆรอบๆมหาสมุทรอินเดีย
ศตวรรษที่ 17 สินค้าจากเอเชีย ยาสูบและน้ำตาลจากอเมริกา ซึ่งเพาะปลูกด้วยแรงงานทาสแอฟริกันทำให้อังกฤษมีความมั่งคั่ง ลอนดอนกลายเป็นศูนย์กลางทางการเงิน เมืองท่า เช่น บริสตอลและลิเวอร์พูล รุ่งเรืองจากการทำการค้าต่างประเทศ
ระหว่างศตวรรษที่ 18 อำนาจทางทะเลกับการทหารสร้างอิทธิพลในอเมริกาเหนือ หมู่เกาะอินดีสตะวันตก ตามชายฝั่งแอฟริกาตะวันตกและรอบมหาสมุทรอินเดีย อังกฤษทำสงครามแผ่อำนาจเอาชนะดัตช์และที่สำคัญคือการเอาชนะฝรั่งเศสศัตรูสำคัญได้
ชาวอาณานิคมในอเมริกาเหนือก่อกบฏต่อต้านอังกฤษ ตั้งแต่ปี 1765 ความไม่พอใจได้ปรากฏชัดขึ้น มีการประกาศเอกราชในปี 1776 และเมื่อถึงปี 1783 อังกฤษก็จำต้องยอมเลิกล้มความพยายามที่จะปกครอง และต้องสูญเสียคนมากกว่า 2.5 ล้านคน และอาณานิคม 13 รัฐไป แต่อังกฤษยังคงอยู่ในอเมริกาเหนือในแคนาดา ซึ่งเพิ่งได้มาจากฝรั่งเศส
อังกฤษครอบครองอินเดียได้ด้วยการค้าที่มั่นคงของบริษัทอีสต์อินเดีย กองกำลังอังกฤษภายใต้รอเบิร์ต ไคลฟ์ยื่นมือเข้ามาช่วยโค่นราชาแห่งเบงกอลในปี 1757 นับจากปี 1765 มา เบงกอลก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ ตามด้วยดินแดนอื่นๆ ในปี 1788 ชุมชนชาวยุโรปแห่งแรกก่อตั้งขึ้นในออสเตรเลียจากการขนย้ายนักโทษไปสู่ซิดนีย์ ปี 1806 อังกฤษเข้ายึดครองแหลมกูดโฮป
เกือบตลอดศตวรรษที่ 19 จักรวรรดิอังกฤษเติบโตขึ้นโดยแทบจะปราศจากคู่แข่ง กองทัพอังกฤษพิชิตแคว้นต่างๆของอินเดียและยึดครองอนุทวีปทั้งหมดไว้ในกลางศตวรรษ อังกฤษมีอำนาจเหนือออสเตรเลียทั้งทวีป ผนวกนิวซีแลนด์เข้ามาด้วยในปี 1840 และแคนาดาของอังกฤษก็แผ่ออกไปทางทิศตะวันตกจนจรดกับมหาสมุทรแปซิฟิก
ในศตวรรษที่ 19 ราชนาวีอังกฤษเข้าแทรกแซงเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของอังกฤษในดินแดนหลายแห่งซึ่งไม่ได้อยู่ใต้การปกครองของอังกฤษโดยตรง เช่น ในสงครามฝิ่นบนชายฝั่งจีนจากปี 1839 ถึง 1842 และ 1856 ถึง 1860
จากจักรวรรดิสู่เครือจักรภพ
เมื่อใกล้สิ้นสุดศตวรรษที่ 19 เกิดการท้าทายต่ออำนาจของอังกฤษ เมื่อฝรั่งเศส เยอรมันนี และรัสเซีย เริ่มขยายความสนใจออกไปนอกยุโรป และสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นเริ่มกลายเป็นมหาอำนาจในจักรวรรดิเอง ก็เกิดกระแสชาตินิยมขึ้น โดยเริ่มมีการเรียกร้องสิทธิในการปกครองตนเอง อังกฤษโต้ตอบด้วยการยึดครองดินแดนเพิ่มขึ้นอีกเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนและสกัดไม่ให้ดินแดนอื่นๆ เรียกร้องบ้าง ในแอฟริกาเขตร้อน นักเผชิญโชค เช่น เซซิล โรดส์ สร้างดินแดนกว้างใหญ่ของอังกฤษไว้ในแอฟริกากลางในทศวรรษที่ 1890 แผ่ไปถึงซิมบับเว แซมเบีย และมาลาวีในปัจจุบัน
การท้าทายที่ชัดเจนที่สุดของลัทธิชาตินิยมได้แก่ การต่อต้านของพวกแอฟริคานบัวร์ในแอฟริกาใต้ จบลงด้วยสงครามบัวร์ระหว่างปี 1899 ถึง 1902 กระแสชาตินิยมซึ่งเชิดชูจักรวรรดิว่าเป็นที่มาของความยิ่งใหญ่ของอังกฤษ เป็นความรู้สึกที่ปรากฏอยู่ในการเฉลิมฉลองกาญจนาภิเษกของสมเด็กพระราชินิวิกตอเรียในปี 1897
ขบวนการเรียกร้องเอกราชที่น่าเกรงขามที่สุดเกิดขึ้นในอินเดีย โดยมี มหาตมะคานธี เป็นผู้สร้างแรงกระตุ้น อังกฤษเริ่มมอบอำนาจการปกครองตนเองให้กับดินแดนต่างๆ เช่น ออสเตรเลีย จักรวรรดิค่อยๆแปรไปสู่จักรภพ ประชาชนในเครือจักรภพสนับสนุนอังกฤษในสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง หลังจากปี 1945 อำนาจในการปกครองอังกฤษเริ่มลดน้อยลง อังกฤษกลายเป็นมหาอำนาจรองลงมาจากสหรัฐฯ และสหภาพโซเวียต ไม่อาจสกัดกั้นลัทธิชาตินิยมไว้ได้อีกต่อไปแล้ว จักรวรรดิที่อินเดียกลายเป็นประเทศเอกราชอินเดียและปากีสถาน และจักรวรรดิในแอฟริกาถูกแบ่งแยกเป็นดินแดนเล็กดินแดนน้อย อาณานิคมใหญ่แห่งสุดท้ายคือ ฮ่องกง กลับคืนไปเป็นของจีนในปี 1997.