อาการตาเขหรือตาเหล่ (Strabismus) เป็นหนึ่งในภาวะสายตาที่พบบ่อยที่สุดในเด็กซึ่งมีผลต่อระหว่าง 2 ถึง 4 เปอร์เซ็นต์ของประชากร
อาการตาเขหรือตาเหล่คืออะไร?
ตาเข หรือ ตาเหล่ เกิดขึ้นเมื่อดวงตาของเราไม่ได้รับการจัดวางตำแหน่งอย่างถูกต้อง ดวงตาข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างอาจหันเข้าด้านใน ด้านนอก หรืออาจจะหมุนขึ้นหรือลง
หรือเมื่อเวลามองวัตถุเดียวกัน ผู้ป่วยจะใช้เพียงตาข้างที่ปกติจ้องวัตถุ ส่วนข้างที่เหล่ อาจเบนไปสู่ทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการตาเขหรือตาเหล่?
- เกิดจากพันธุกรรม หรือ มีคนในครอบครัวที่มีอาการนี้อยู่แล้ว
- เกิดความผิดปกติของกล้ามเนื้อ
- อาจมีสาเหตุจากการเกิดอุบัติเหตุ
- ความเสียดายที่เกิดจากการผ่าตัดตา
- ปัญหาสุขภาพ อย่างเช่น โรคเบาเหวาน โรคต่อมไทรอยด์ หรือ เนื้องอกในสมอง
- ข้อผิดพลาดจากการหักเหในคนสายตายาว เนื่องจากต้องใช้การโฟกัสเพิ่มในการมองวัตถุ
ภาวะแทรกซ้อนของตาเหล่มีอะไรบ้าง?
- ตาขี้เกียจ หรือ Lazy Eye มักเกิดขึ้นในเด็กอายุน้อย
- การมองเห็นภาพซ้อน
- การทำงานที่ต้องใช้ดวงตามากๆ อาจนำมาสู่ภาวะแทรกซ้อนได้
อาการทั่วไปของตาเขหรือตาเหล่
ภาวะสายตานี้อาจส่งผลต่อการมองเห็นของเราและทำให้หลายๆคนรู้สึกไม่สบายตัว อาการทั่วไปบางอย่าง ได้แก่ :
- มองเห็นไม่ค่อยชัด
- ดวงตาไม่เคลื่อนไหวไปพร้อมกัน
- เหล่ตา หรือเอียงศีรษะเพื่อมองวัตถุต่างๆ
- ต้องหลับตาข้างใดข้างหนึ่งเมื่อเจอแสงจ้า
- การรับรู้เชิงลึกผิดพลาด เช่น การเดินชนของบ่อยๆ
การวินิจฉัยอาการตาเขหรือตาเหล่
การทดสอบอาการตาเหล่จะเน้นเป็นพิเศษเกี่ยวกับการโฟกัสและการเคลื่อนไหวของดวงตาและอาจรวมถึง:
- การตรวจสอบประวัติผู้ป่วย : เกี่ยวกับปัญหาสุขภาพทั่วไป การใช้ยารักษา และสภาพการเป็นอยู่ในปัจจุบัน
- การตรวจวัดการมองเห็น : เพื่อประเมินว่าการมองเห็นได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด สำหรับการทดสอบระบบจะขอให้คุณอ่านตัวอักษรบนแผนภูมิ ทั้งการอ่านที่อยู่ใกล้และในระยะไกล ซึ่งระยะการมองเห็น “ปกติ” คือ 20/20 หรือ หากเป็นการตรวจในเด็กจะมีการทดสอบโดยให้ปิดทีละข้างในการมองวัตถุ เพื่อสังเกตการเบนออกของดวงตา
- การตรวจรีเฟลกซ์กระจกตาโดยฉายไฟ : หรือดูจากการหักเหของแสง การใช้เครื่องมือที่เรียกว่าโฟรออปเตอร์ แพทย์จะวางชุดของเลนส์ไว้ด้านหน้าดวงตาของคุณ และวัดว่าคุณโฟกัสแสงอย่างไร โดยใช้เครื่องมือที่มีแสงแบบถือมือถือที่เรียกว่าเรติโนสโคป หรือแพทย์อาจใช้เครื่องมืออัตโนมัติประเมินกำลังหักเหของตา โดยที่ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องตอบคำถามใด ๆ
- การตรวจสุขภาพตา : การทดสอบนี้จะพิจารณาว่าดวงตาตอบสนองอย่างไรภายใต้สภาวะการมองเห็นปกติ สำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถตอบคำถามได้หรือเมื่อดวงตาบางส่วนกำลังโฟกัสผิดจุดอยู่ แพทย์ของคุณอาจใช้ยาหยอดตา ยาหยอดตาจะป้องกันไม่ให้ดวงตาเปลี่ยนโฟกัสชั่วคราวระหว่างการทดสอบ
การรักษาอาการตาเขหรือตาเหล่
การรักษาอาการตาเขหรือตาเหล่ อาจรวมถึงแว่นสายตา การรักษาด้วยการมองเห็นหรือการผ่าตัดกล้ามเนื้อตา
หากตรวจพบและได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ อาการตาเหล่มักจะสามารถแก้ไขได้อย่างดีเยี่ยม ผู้ที่มีอาการตาเหล่มีทางเลือกในการรักษาหลายวิธี เพื่อปรับปรุงการจัดตำแหน่งและการประสานงานของดวงตา ได้แก่ :
- ใส่แว่นตาหรือคอนแทคเลนส์ : นี่อาจเป็นวิธีการรักษาเดียวที่จำเป็น สำหรับผู้ป่วยบางราย และถือเป็นการรักษาขั้นต้นเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยกลับมามองเห็นได้ปกติ
- เลนส์ปริซึม : เลนส์พิเศษเหล่านี้หนากว่าด้านหนึ่ง ปริซึมจะเปลี่ยนแสงที่เข้าสู่ดวงตาและลดการหันตาเพื่อดูวัตถุ ช่วยให้การหักเหของแสงตกลงพอดีบนจุดรับภาพที่จอตา
- การฝึกกล้ามเนื้อตาหรือวิสัยทัศน์บำบัด : แพทย์อาจกำหนดโปรแกรมกิจกรรมการมองเห็นที่มีโครงสร้างเพื่อปรับปรุงการประสานงานของดวงตาและการโฟกัสของดวงตา การบำบัดด้วยการมองเห็นจะฝึกให้ดวงตาและสมองทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การฝึกสายตาเหล่านี้สามารถช่วยแก้ปัญหาเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของดวงตา การโฟกัสตา และการทำงานร่วมกันของดวงตา และเสริมสร้างการเชื่อมต่อระหว่างตากับสมอง
- การผ่าตัดกล้ามเนื้อตา. การผ่าตัดสามารถเปลี่ยนความยาวหรือตำแหน่งของกล้ามเนื้อรอบดวงตาให้ตรงได้ บ่อยครั้งผู้ที่ได้รับการผ่าตัดกล้ามเนื้อตาจะต้องได้รับการรักษาด้วยการมองเห็น เพื่อปรับปรุงการประสานงานของดวงตาและเพื่อป้องกันไม่ให้ดวงตาไม่อยู่ในแนวเดียวกัน
- การรักษาด้วยยา : ด้วยการหยอดตาที่มีฤทธิ์ทำให้ดวงตาเห็นภาพเบลอ ส่งผลให้ดวงตาที่อ่อนแอทำงานมากขึ้นจนกล้ามเนื้อดวงตากลับมาแข็งแรงและมองเห็นภาพได้ปกติ
การป้องกันอาการตาเขหรือตาเหล่
อาการตาเหล่ไม่สามารถป้องกันได้ แต่ภาวะแทรกซ้อนสามารถป้องกันได้หากตรวจพบเร็วพอ เด็กต่ำสุดที่ควรได้รับการตรวจคัดกรองสุขภาพตาก่อนอายุ 6 เดือนและอีกครั้งระหว่าง 3-5 ปี
อ้างอิง : aoa.org / laservisionthai